Saturday, September 5, 2020

เปิดรายงานตรวจสอบคดี "บอส อยู่วิทยา" รวมหัวใช้อำนาจ-อิทธิพลช่วยผู้ต้องหาพ้นผิด - โพสต์ทูเดย์

superselebbanget.blogspot.com

เปิดรายละเอียดรายงานผลตรวจสอบคดี "บอส อยู่วิทยา" ของคณะกรรมการชุด "วิชา มหาคุณ" พบการร่วมมือทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ฝ่ายการเมือง ทนาย พยาน ช่วยผู้ต้องหาให้พ้นผิด ใช้อำนาจ อิทธิพลแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม สร้างพยานหลักฐานเท็จ

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 63 นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน กรณีคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต โดยได้มีการเผยแพร่บทสรุปผลการตรวจสอบให้กับสื่อมวลชน โดยมีเนื้อหาดังนี้

มีความร่วมมืออย่างเป็นระบบ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม

ผลการตรวจสอบพบว่า มีความร่วมมือกันอย่างเป็นระบบของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทนายความ พยาน และบุคคลทั่วไป ในการเข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการดำเนินคดีจนถึงปัจจุบัน โดยใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อิทธิพลบังคับ และการสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ในชั้นการสอบสวน จากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่แสดงปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดและบ่งชี้สารเสพติดในร่างกาย รายงานการตรวจพิสูจน์หลักฐานเกี่ยวกับความเร็วของรถในขณะเกิดเหตุ ตลอดจนความพยายามอย่างต่อเนื่องในการช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

คณะกรรมการเชื่อว่า ผู้ต้องหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ดาบตำรวจ วิเชียร กลั่นประเสิรฐ ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม สถานีตำรวจ นครบาลทองหล่อถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2555 การที่ผู้ต้องหาไม่หยุดรถในทันทีหลังจากชนผู้ตาย แต่กลับพาร่างผู้ตายไปไกลกว่า 60เมตร และลากรถจักรยานยนต์ของผู้ตายไปไกลกว่า 160 เมตร ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ผู้ต้องหาน่าจะกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล เพราะวิสัยวิญญูชน เมื่อขับรถชนคนหรือสิ่งใดแล้วย่อมต้องหยุดรถทันทีเพื่อตรวจสอบความเสียหายหรือให้ความช่วยเหลือ แต่ผู้ต้องหาหาทำเช่นนั้นไม่

ช่วย "บอส" พ้นผิด เริ่มตั้งแต่ "ตำรวจ" หลังเกิดเหตุ

ความพยายามในการช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีเกิดขึ้นทันทีภายหลังจากเกิดเหตุ โดยสารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ได้สร้างพยานหลักฐานเท็จโดยการนำตัวลูกจ้างของครอบครัวอยู่วิทยามามอบตัวรับสมอ้างว่าเป็นผู้ขับรถ แม้ต่อมาในวันเดียวกัน ผู้ต้องหายอมจำนนมามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนกลับให้การภาคเสธ โดยอ้างว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความผิดของผู้ตาย และผู้ต้องหาเพิ่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์แล้ว

ข้ออ้างอันเป็นเท็จนี้เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาอันเป็นเท็จและไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อผู้ตาย ซึ่งตายในทันทีหลังจากถูกชนว่า เป็นผู้ต้องหาร่วม ทั้งที่การตั้งข้อหาจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อบุคคลมีชีวิตอยู่และได้แจ้งข้อหาให้แก่ผู้นั้น อันน่าเชื่อว่าการตั้งข้อหาอันเป็นเท็จและไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้เกิดจากการวางแผนของพนักงานสอบสวนและทีมทนายความของผู้ต้องหา โดยกล่าวหาผู้ตายว่าประมาทด้วยเพื่อทำให้รูปคดีเอื้อประโยชน์ต่อการช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาพ้นผิด

ไม่แจ้งข้อหาเสพโคเคน-ดื่มแอลกอฮอล์ทั้งที่หลักฐานชัด

แม้ว่าในเวลาต่อมา พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาผู้ต้องหาจำนวน 5 ข้อหา ได้แก่ ข้อหาขับรถขณะมึนเมาสุรา ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย ข้อหาขับรถแล้วไม่หยุดให้ความช่วยเหลือและไม่แจ้งเจ้าพนักงาน ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

แต่กลับไม่ตั้งข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษทั้งที่มีการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์พบสารแปลกปลอมในร่างกายของผู้ต้องหาที่เชื่อมโยงกับการเสพโคเคนและการดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ในข้อหาขับรถขณะเมาสุรา พนักงานสอบสวนก็ได้รับฟังความเห็นของพยานฝ่ายผู้ต้องหาซึ่งขัดแย้งกับผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์มาเป็นเหตุผลในการสั่งไม่ฟ้องคดี พฤติการณ์ดังกล่าวนี้ น่าเชื่อว่าเป็นความพยายามในการช่วยเหลือผู้ต้องหามิให้ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา และทำให้รูปคดีเอื้อประโยชน์ต่อการช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาพ้นผิด

ส่งสำนวนล่าช้าเกินกำหนด6เดือน ไม่นำตัวผู้ต้องหาส่งฝากขัง

ในคดีนี้ ได้มีการสอบสวนคดีจนเสร็จสิ้นและมีความเห็นทางคดีในวันที่ 1 มี.ค. 2556 และได้ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมตัวผู้ต้องหาให้กับพนักงานอัยการในวันที่ 4 มี.ค.2556 จึงเป็นการส่งสำนวนการสอบสวนที่ล่าช้าเกินกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่มีการนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาลก่อนครบกำหนดปล่อยตัวชั่วคราว

ในชั้นการพิจารณาของพนักงานอัยการ คณะกรรมการพบว่า ระบบการร้องขอความเป็นธรรมภายใต้ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ.2547 เปิดช่องให้ฝ่ายผู้ต้องหาใช้เป็นเครื่องมือในการประวิงคดี โดยผู้ต้องหาไม่ต้องยื่นคำร้องด้วยตนเอง และทำให้คดีขาดอายุความ รวมทั้งเปิดโอกาสให้พนักงานอัยการพิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมจากผู้ต้องหาได้อย่างไม่มีข้อจำกัดในเหตุและจำนวนครั้ง ทั้งยังอนุญาตให้มีการกลับความเห็นหรือคำสั่งฟ้องในคดีอาญา ซึ่งสั่งไปแล้วได้

ใช้การร้องขอความเป็นธรรม ประวิงคดี-ช่วยผู้ต้องหาให้ไม่ต้องรับโทษ

ในคดีนี้ การร้องขอความเป็นธรรมตามระเบียบดังกล่าวจึงถูกใช้เป็นกลไกในการประวิงคดีและเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหามิให้ต้องรับโทษตามกฎหมายโดยความร่วมมือของผู้ต้องหา ทีมทนายความ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และบุคคลทั่วไป โดยปรากฏว่า มีการยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการเป็นจำนวนถึง 14 ครั้ง

ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2556 ครั้งที่2 เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2556 ครั้งที่3 เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2556 ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2557 ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2557 ครั้งที่6 เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2557 ครั้งที่7เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2557 ครั้งที่8 เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2558 ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 12 ม.ค.2559 ครั้งที่10 เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2559 ครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2559 ครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2560 ครั้งที่ 13 เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2561 และครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2562

โดยตั้งแต่ครั้งแรกถึงครั้งที่สิบสาม อัยการสูงสุดหรือรองอัยการสูงสุดที่มีอำนาจสั่งคดีร้องขอความเป็นธรรมในแต่ละครั้งได้สั่งยุติการร้องขอความเป็นธรรม หลังจากที่ได้มีการสั่งให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม และได้มีการดำเนินการสอบสวนและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานอย่างรอบคอบ

การร้องขอความเป็นธรรมกลับเป็นผลสำเร็จในการร้องขอครั้งที่ 14 จากการพิจารณาเพียงพยานหลักฐานเดิมที่ได้เคยมีการพิจารณาไปแล้ว และเห็นว่ามีพิรุธและไม่น่าเชื่อถือ ในการพิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมในหลายครั้งก่อนหน้า โดยเฉพาะอัยการสูงสุด รวมถึงรองอัยการสูงสุดหลายคน ได้พิจารณาพยานหลักฐานชุดนี้แล้ว และมีคำสั่งให้ยุติเรื่องไปก่อนหน้านั้นหลายครั้งหลายครา

เจ้าหน้าที่รัฐ-ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง-ทนาย-พยาน ร่วมมือช่วย "บอส"

การร่วมมือกันอย่างเป็นระบบของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทนายความ พยาน และบุคคลทั่วไปในการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้

ปรากฏหลักฐานอย่างชัดเจนว่า มีบุคคลจำนวนหนึ่งได้ร่วมกันจัดให้ "รองศาสตราจารย์ ส." ได้พบกับ "พันตำรวจโท ธ." เพื่อนำเสนอวิธีการคำนวณความเร็วใหม่และมีการสอบปากคำ พันตำรวจโท ธ. ภายใต้การกำกับของพนักงานอัยการไม่ทราบชื่อ เพื่อจัดทำพยานหลักฐานเท็จ โดยแก้ไขวันที่สอบปากคำให้เป็นวันที่ 26 ก.พ. 2559 และวันที่ 2 มี.ค. 2559 สำหรับใช้ในการร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการและต่อคณะกรรมาธิการในเวลาต่อมา โดยการกดดัน หรือใช้อิทธิพลบังคับให้ พันตำรวจโท ธ. ให้การเปลี่ยนความเห็นในเรื่องความเร็วของรถผู้ต้องหาในขณะที่ชนผู้ตายจาก 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามที่ปรากฏในรายงานการพิสูจน์หลักฐานครั้งแรกเป็นความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อให้สอดคล้องกับผลการคำนวณความเร็วรถของ รองศาสตราจารย์ ส. ซึ่งได้มีการตระเตรียมกันไว้ล่วงหน้า โดยไม่ให้โอกาส พันตำรวจโท ธ. ตรวจสอบวิธีการคำนวณความเร็วรถ ของ รองศาสตราจารย์ ส. อย่างรอบคอบ

แม้ว่าในเวลาต่อมา พันตำรวจโท ธ. จะพยายามขอยกเลิกคำให้การ ภายหลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบอย่างรอบคอบจนพบความผิดพลาดของวิธีการคำนวณความเร็วรถของ รองศาสตรจารย์ ส. แต่ได้รับการปฏิเสธจาก "พันตำรวจโท ว." โดยอ้างว่า พนักงานสอบสวนส่งสำนวนคดีให้พนักงานอัยการพิจารณาแล้ว

อนึ่งการลงวันที่อันเป็นเท็จดังกล่าว น่าเชื่อว่าเป็นไปเพื่อกัน บุคคลบางคนให้ออกจากเรื่องนี้ และเพื่อให้การคำรวณความเร็วรถใหม่ใช้เวลาตามควรเพื่อให้น่าเชื่อถือ ความร่วมมือระหว่าง พนายความ ผู้ต้องหา ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการดังกล่าว ย่อมทำให้การสอบสวนเป็นการสอบสวนที่ไม่สุจริต และไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้ง

ใช้อิทธิพลทางการเมืองกดดันกระบวนการยุติธรรม

อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการใช้พยานหลักฐานเท็จในการร้องขอความเป็นธรรมยังไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ต้องหา ทีมทนายความ และกลุ่มบุคคลที่มีส่วมร่วมในการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหามิให้ต้องรับโทษ ได้ใช้อิทธิพลทางการเมืองกดดันกระบวนการยุติธรรม โดยการร้องขอความเป็นธรรมเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2559 กับคณะกรรมาธิการที่ประกอบด้วย ข้าราชการ ทหาร ตำรวจระดับสูง เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงในกระบวนการยุติธรรม

โดยเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2559 กรรมาธิการบางคนได้ให้ความเห็นและอ้างพยานหลักฐานเท็จเกี่ยวกับความเร็วรถของผู้ต้องหาที่ตนมีส่วนจัดให้มีการจัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับผู้ต้องหา ความพยายามนี้สอดรับกับแนวทางการทำงานและผลสรุปของคณะทำงานที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาการร้องขอความเป็นธรรม และมีกรรมาธิการบางคนเป็นประธานคณะทำงาน แม้ว่ากรรมาธิการหลายคนไม่ประสงค์ให้คณะกรรมาธิการดำเนินการในลักษณะที่ก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่และใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมก็ตาม แต่กรรมาธิการผู้นั้นได้ไปเป็นพยานและให้ปากคำสนับสนุนข้ออ้างของผู้ต้องหาในการสอบสวนเพิ่มเติม ต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2561 ด้วย

แม้ว่าการร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการจะไม่ประสบความสำเร็จในช่วง 13 ครั้งแรก ฝ่ายผู้ต้องหาก็ยังไม่ลดละความพยายามในการร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการโดยใช้พยานหลักฐานเท็จอีก โดยเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2562 ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากผู้ต้องหาได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ขอให้สอบปากคำเพิ่มเติม "พลอากาศโท จ." หรือ นาย จ. ในประเด็นความเร็วของรถในขณะที่ผู้ต้องหาขับขี่รถยนต์ว่า ขับขี่ด้วยความเร็วเท่าใด และในประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาร้องขอความเป็นธรรมโดยพนักงานอัยการตามลำดับชั้นนั้น

อัยการอาวุโส สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีร้องขอความเป็นธรรม2 ทำความเห็นให้มีการสอบเพิ่มเติม พลอากาศโท จ. นายจ. พันตำรวจโท ธ. รองศาสตราจารย์ ส. รวมทั้งให้พิจารณารายงานการประชุมคณะกรรมาธิการครั้งที่ 47/2549 ในขณะที่อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานกิจกรอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการในหน้าที่ อัยการพิเศษฝ่ายคดีร้องขอความเป็นธรรม2 ทำความเห็นให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากเห็นว่า พยานหลักฐานที่ผู้ร้องขอความเป็นธรรมเสนอไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงความเห็นและคำสั่งเดิมได้ ประกอบกับการที่ผู้ต้องหาเคยร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาหลายครั้ง อาจเชื่อได้ว่าเป็นการประวิงคดี และผู้ต้องหาซึ่งอยู่ระหว่างการหลบหนีคดีมิได้มาร้องขอความเป็นธรรมด้วยตัวเอง ความเห็นนี้ได้รับการสนับสนุนโดยอัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว รักษาการในตำแหน่งรองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด

อย่างไรก็ตาม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด รักษาการในตำแหน่ง อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด กลับมีความเห็นคล้อยตามกับความเห็นของอัยการผู้ทำความเห็นชั้นต้น

"นาย น. รองอัยการสูงสุด"ใช้อำนาจ-ดุลพินิจสั่งคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

"นาย น." อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูง รักษาการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด มีความเห็นเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2562 ให้มีการสอบพยานเพิ่มเติมโดยเจาะจงให้มีการสอบเพิ่มเติมเฉพาะ พลอากาศโท จ. และนาย จ. เท่านั้น ซึ่งพยานทั้งสองปากนี้เคยถูกสอบไปแล้วในการร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้งก่อนหน้า โดยที่ผู้พิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมในแต่ละครั้ง อันได้แก่รองอัยการสูงสุดหรือ อัยการสูงสุดได้เคยพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่า เป็นพยานหลักฐานที่มีพิรุธและไม่น่าเชื่อถือ ภายหลังที่อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ ได้มีการสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำเพิ่มเติมตามคำสั่งของ นาย น. และ นายน. ในฐานะรองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นข้อหาเดียวที่เหลืออยู่ เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2563

คณะกรรมการเห็นว่า การใช้อำนาจในการสั่งคดีร้องขอความเป็นธรรม และต่อมาการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในคดีอาญาของ นาย น. ในฐานะรองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด เป็นการใช้อำนาจและดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และน่าเชื่อว่า มีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องหามิให้ต้องรับโทษ เพราะเหตุของการเจาะจงให้มีการสอบเพิ่มเติมและรับฟังเฉพาะ พลอากาศโท จ. และ นายจ. ซึ่งเป็นพยานเคยถูกสอบไปแล้วในการร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้งก่อนหน้า มิใช่พยานหลักฐานใหม่แต่อย่างใด

นอกจากนั้นผู้พิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมในแต่ละครั้งอันได้แก่ รองอัยการสูงสุดหรืออัยการสูงสุดได้เคยพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าเป็นพยานหลักฐานที่มีพิรุธและไม่น่าเชื่อถือ และ นาย น. เชื่อคำพยาน พลอากาศโท จ. เพียงเพราะเป็นข้าราชการระดับสูง แต่กลับไม่เชื่อเหตุผลและดุลพินิจ ของอดีตอัยการสูงสุดและรองอัยการสูงสุดที่สั่งให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรมในทุกครั้งก่อนหน้า อีกทั้งไม่นำพาต่อความเห็นและเหตุผลของพนักงานอัยการผู้ทำความเห็นชั้นต้นที่เสนอให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรมที่สอดคล้องกับเหตุผลการยุติความเป็นธรรมทั้ง 13 ครั้งก่อนหน้า

ใช้อำนาจสั่งไม่ฟ้องบนพยานหลักฐานเก่า ส่อเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องหา

การใช้อำนาจสั่งไม่ฟ้องของ นายน. จึงอยู่บนพยานหลักฐานเก่าที่ได้มีการพิจารณามาแล้วหลายครั้ง เป็นการกลับดุลพินิจอันเป็นความเห็นของอดีตผู้บังคับบัญชาและอดีตรองอัยการสูงสุด ซึ่งทำหน้าที่มาก่อนโดยไม่มีเหตุอันสมควร ดังนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3509/2549 ซึ่งวินิจฉัยว่า การใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการต้องอยู่บนรากฐานและอยู่ในกรอบของความสมเหตุสมผล ถึงแม้ว่าพนักงานอัยการจะมีอิสระในการใช้ดุลพินิจเพื่อใช้ในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน กลั่นกรองคดี แต่ย่อมเป็นความอิสระที่มีกรอบของความชอบด้วยกฎหมายและขอบเขตของความสมเหตุสมผล เป็นเหตุผลที่สามารถชี้แจงได้

"อัยการสูงสุด"ต้องร่วมรับผิดชอบ

นอกจากนี้ แม้นาย น. จะได้รับมอบอำนาจจากอัยการสูงสุดให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุดในการสั่งคดีร้องขอความเป็นธรรม แต่ตามมาตรา 19 และ มาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 และ ข้อ7 ของระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยการรักษาราชการแทน การปฏิบัติราชการแทน การรักษาการแทนในตำแหน่งของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2554 อัยการสูงสุดในฐานะผู้มอบอำนาจจะต้องกำกับ ติดตามผลการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจ และให้มีอำนาจแนะนำและแก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจได้

แม้อัยการสูงสุดจะอ้างว่าการมอบอำนาจให้ นาย น. เป็นการมอบอำนาจขาด และได้ทราบเรื่องการสั่งไม่ฟ้องคดีของ นาย น. จากการรายงานของสื่อมวลชน แต่อัยการสูงสุดในฐานะผู้มอบอำนาจไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความบกพร่องในการกำกับการปฏิบัติหน้าที่ของ นายน. รองอัยการสูงสุดผู้รับมอบอำนาจได้ การอ้างความไม่รู้ไม่เป็นข้อแก้ตัวและไม่น่าเชื่อถือ เหตุเพราะการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาอยู่ในความสนใจของประชาชนมาอย่างต่อเนื่องยาวนานและมีการร้องขอความเป็นธรรมมาแล้วถึง 14 ครั้ง และในการพิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2560 อัยการสูงสุดในขณะนั้นได้เรียกสำนวนคดีร้องขอความเป็นธรรมและสำนวนคดีอาญามาพิจารณาสั่งการด้วยตนเอง และเห็นว่าคดีอยู่ในความสนใจของ สาธารณชน และการพิจารณา อาจจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมมั่นของสังคมที่มีต่อองค์กร โดยมีคำสั่งให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรมในท้ายที่สุด

"ผบ.ตร.-ผู้ช่วยผบ.ตร." มีความบกพร่อง เหตุไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง

คณะกรรมการเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของ "ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ" ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการสั่งไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการมีความบกพร่อง เนื่องจากไม่พิจารณาคำสั่งไม่ฟ้องของ นาย น. ด้วยความรอบคอบ การอ้างว่าการออกคำสั่งเกิดจากการพิจารณาสั่งการตามความเห็นของเจ้าพนักงานตำรวจตามลำดับชั้นและเข้าใจว่า เป็นการสั่งคดีความผิดเกี่ยวกับจราจรธรรมดาทั่วไปนั้น เป็นข้ออ้างที่คณะกรรมการเห็นว่า "ฟังไม่ขึ้น"

ในขณะที่ "ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ" ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในฐานะผู้มอบอำนาจ ซึ่งมีหน้าที่ต้องกำกับ ติดตามผลการปฏฺบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจและให้มีอำนาจแนะนำและแก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจ ตามมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ ฑ.ศ. 2547 การมอบอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยมิได้มีการกำกับดูแลติดตาม ผลการปฏิบัติราชการในคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเช่นนนี้ เป็นความบกพร่องที่ทำให้เกิดผลเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดิน และกระทบต่อความศรัทธาขององค์กร

โยกย้าย "ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ" ส่อไม่เป็นธรรม เหตุแจ้งหมายจับ "บอส" ให้ตำรวจสากล

อนึ่ง เมื่อมีการออกหมายจับผู้ต้องหา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศได้แจ้งให้ตำรวจสากลทราบถึงหมายจับผู้ต้องหาเพื่อนำตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดี แต่ปรากฏว่าหลังจากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนั้นบุคคลดังกล่าวได้ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้บังคับการ ประจำกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค3 น่าเชื่อว่า เป็นการโยกย้ายที่มีความไม่ปกติอันสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้อง

"ทนายความ"เบื้องหลังสำคัญทำให้เกิดการสั่งไม่ฟ้อง "บอส"

ในคดีนี้ คณะกรรมการพบว่า ทนายความของผู้ต้องหามีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดผลของการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา โดยได้ไปพบกับ รองศาสตรจารย์ ส. พร้อมกับ นาย ช. เพื่อขอให้มีการคำนวณความเร็วรถของผู้ต้องหาใหม่ และยังได้อยู่ร่วมในการจัดให้มีการสอบปากคำ พันตำรวจโท ธ. เพื่อเปลี่ยนคำให้การเรื่องความเร็วรถด้วย หลังจากนั้น ทนายความของผู้ต้องหาได้รับมอบอำนาจเพื่อร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการและคณะกรรมาธิการเรื่อยมา จนกระทั่ง นาย น. มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีผู้ต้องหาในการร้องขอความเป็นธรรมครั้งสุดท้าย

สำหรับ นาย จ. ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญที่ได้ให้การว่า ผู้ต้องหาขับรถด้วยความเร็วโดยประมาณ 50 ถึง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น คณะกรรมการพบว่า ได้รับการอุปการะจาก นาย ช. นอกจากนี้หลังจากที่ นาย จ. ถึงแก่ความตายอย่างกระทันหันภายหลังที่ได้มีชื่อปรากฏในข่าว พบว่า โทรศัพท์มือถือของ นาย จ. ถูกทำลาย

สรุปมีการร่วมสมคบคิดช่วย "ผู้ต้องหา" พ้นความผิด ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

จากข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานทั้งปวง คณะกรรมการเห็นว่า การตั้งข้อหา การสอบสวน การร้องขอความเป็นธรรม การกลับคำสั่งฟ้องเป็นสั่งไม่ฟ้อง การไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการเป็นขบวนการดำเนินคดีที่เชื่อได้ว่า "มีการร่วมมือสมคบคิดกันอย่างเป็นระบบ" ของเจ้าหน้าที่พนักงานในกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทนายความ พยานและบุคคลทั่วไป รวมทั้ง "มีการสมยอมกันโดยไม่สุจริต" เพื่อหวังผลเพียงให้ผู้ต้องหาหลุดพ้นจากความรับผิดในทางอาญาทั้งในชั้นพนักงานสอบสวนและในชั้น พนักงานอัยการ "กระบวนการทั้งสิ้นนี้จึงมิชอบด้วยกฎหมาย" ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 646-647/2510 คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 6446/2547 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9334/2538 ที่ได้วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานแล้ว คณะกรรมการจึงมีข้อเสนอ ดังต่อไปนี้

ชงเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่-ฟันอาญา วินัย ผู้เกี่ยวข้องช่วย "บอส"

1.ต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ให้ถูกต้องในข้อหาที่ยังไม่ขาดอายุความ โดยเฉพาะข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษ ข้อหาขับขี่รถในขณะเมาสุราและเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

2.จะต้องมีการดำเนินการวินัยและทางอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลอื่นที่ร่วมในขบวนการนี้กล่าวคือ

2.1พนักงานสอบสวนซึ่งเกี่ยวข้องกับสำนวน

2.2พนักงานอัยการซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

2.3ผู้บังคับบัญชาซึ่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่

2.4สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ซึ่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่

2.5ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่

2.6ทนายความซึ่งกระทำผิดกฎหมาย

2.7พยานซึ่งให้การเป็นเท็จ

2.8ตัวการ ผู้ใช้ และผู้สนับสนุนในการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว

ทั้งนี้ คณะกรรมการเห็นว่า พันตำรวจเอก ธ. และรองศาสตรจารย์ ส. ได้สมัครใจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์โดยเฉพาะพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงสมควรกันไว้เป็นพยานและให้ความคุ้มครองพยานในการดำเนินคดีอาญาแก่บุคคลตามข้อ 2.1 ถึง 2.8

3.จะต้องมีการดำเนินการทางจริยธรรม จรรยาบรรณ มรรยาท โดยหน่วยงานหรือองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้องต่อบุคคลดังกล่าวตามข้อ 2.1 ถึง 2.8 อย่างจริงจังและเปิดเผยให้สาธารณชนทราบเป็นการทั่วไป เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง

4.สมควรกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มอบอำนาจต้องกำกับ ดูแล แก้ไข เปลี่ยนแปลง การปฏิบัติหน้าที่ของผู้รับมอบอำนาจให้ถูกต้องตามกฎหมายและจริยธรรม หากผู้บังคับบัญชาละเลยให้ถือว่าเป็นผู้บกพร่องต่อหน้าที่

5.เนื่องจากคณะกรรมการจะพิจารณาเรื่องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยละเอียดต่อไป ในชั้นนี้ คณะกรรมการเห็นว่า สมควรเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย และระเบียบในประเด็นต่อไปนี้อย่างเร่งด่วน

5.1แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ ในเรื่องการร้องขอความเป็นธรรม โดยกำหนดให้การร้องขอความเป็นธรรม ผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาต้องมาร้องด้วยตนเอง การร้องขอความเป็นธรรมจะต้องระบุเหตุและพยานหลักฐานให้ครบถ้วนการร้องขอความป็นธรรมเกินกึ่งหนึ่งครั้งจะกระทำได้ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานใหม่ที่ไม่เคยนำเสนอมาก่อน

5.2แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่า ด้วยการมอบอำนาจ โดยกำหนดให้ การมอบอำนาจให้รองอัยการสูงสุดพิจารณาเรื่องขอความเป็นธรรมและการมอบอำนาจในการสั่งไม่ฟ้องต้องเป็นการมอบให้แก่รองอัยการสูงสุดต่างคนกัน และไม่ว่าจะสั่งยุติเรื่องหรือสั่งให้ความเป็นธรรมตามการร้องขอ อธิบดีอัยการหรือรองอัยการสูงสุดผู้มีอำนาจต้องรายงานให้อัยการสูงสุดทราบทุกกรณี

5.3วางระเบียบในการมอบอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้เป็นไปตามมาตรา 74 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติฯ และในกรณีที่สั่งไม่ฟ้องตามความเห็นของพนักงานอัยการ ให้รายงานต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทราบทุกครั้ง

แก้กฎหมายให้งดนับอายุความหาก "ผู้ต้องหาหลบหนี"

5.4แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาในเรื่องอายุความ ในทำนองเดียวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 กล่าวคือ ถ้าผู้ต้องหาหลบหนีในระหว่างถูกดำเนินคดีอาญา และให้ฟ้องคดีโดยไม่ต้องมีตัวผู้ต้องหาได้และมิให้นับระยะเวลาที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ

ให้ผลักดันคดี "บอส" เป็น "คดีพิเศษ"

อนึ่ง เนื่องจากการดำเนินการของคณะกรรมการมีระยะเวลาจำกัด ประกอบกับมีพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นพยานบุคคลและพยานเอกสารเป็นจำนวนมาก จึงเห็นควรที่จะเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้ส่งเรื่องนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการป.ป.ช. คณะกรรมการ ป.ป.ท. คณะกรรมการ ป.ป.ง. คณะกรรมการอัยการ คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ สภาทนายความ เพื่อให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไปกับเห็นสมควรดำเนินการให้คดีอาญาในเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ

Let's block ads! (Why?)



"การตรวจสอบ" - Google News
September 01, 2020 at 03:50PM
https://ift.tt/2QG8bCf

เปิดรายงานตรวจสอบคดี "บอส อยู่วิทยา" รวมหัวใช้อำนาจ-อิทธิพลช่วยผู้ต้องหาพ้นผิด - โพสต์ทูเดย์
"การตรวจสอบ" - Google News
https://ift.tt/2V8hayf
Share:

0 Comments:

Post a Comment